ยาวไปอยากเลือกอ่าน
Toggle10 วิธีเพิ่ม Engagement ให้กับโพสต์บนโซเชียลมีเดีย
เชื่อว่าช่วงหลายปีมานี้ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า Engagement (เอ็นเกจเมนท์) กันบ่อยมากใช่มั้ยล่ะคะ โดยเฉพาะในแวดวงการตลาดออนไลน์ (Marketing Online)
Engagement คืออะไร?
Engagement คือหน่วยการวัดคุณค่าของการมีส่วนร่วมของผู้ที่เข้ามาในเว็บไซต์ หรือ โซเชียลมีเดียต่างๆ ของเรา โดยค่าของการมีส่วนร่วมนี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีคน Click post, กด Like, Comment หรือ share post ออกไป เราใช้ค่าการมีส่วนร่วมนี้วัดค่าความสำเร็จของการทำการตลาดออนไลน์ (Marketing Online) นั่นแปลว่ายิ่งมีค่า Engagement มากเท่าไหร่ ความสำเร็จของแคมเปญต่างๆของคุณก็มีมากขึ้นเท่านั้น ทำให้นักการตลาดต้องคิดว่า จะทำอย่างไรให้ค่า Engagement สูงขึ้น เพื่อให้ค่าของความสำเร็จเพิ่มขึ้นเเละสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่เราทำการตลาดให้นั่นเอง เรามาดูกันดีกว่าว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้ค่า Engagement สูงขึ้น
1. ตอบโพสต์และข้อความที่ลูกเพจทักมาอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ
กุญแจสำคัญในการเพิ่ม Engagement ข้อเเรกคือ การตอบโพสต์หรือข้อความกับลูกเพจ เพราะการที่ลูกเพจส่งข้อความมาหาเรา ก็เพราะต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจในการซื้อสินค้าหรือใช้บริการของเรา ปลามาหาถึงที่แล้วเราต้องรีบจับไว้นะ! ซึ่งที่เราต้องทำคือ ตอบกลับไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากไม่รู้คำตอบของคำถามนั้นห้ามเงียบหรือไม่ตอบเด็ดขาด อาจจะพูดกับลูกเพจว่า “ขออนุญาติหาข้อมูลเพิ่มเติมแล้วจะมาบอกอีกทีนะคะ” ก็ได้
มีแบรนด์มากกว่า 65% ที่สร้างเพจ หรือมีช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นๆ แต่ปัญหาคือสร้างไว้เฉยๆแบบนั้น สร้างขึ้นเพื่อให้รู้ว่ามีเพจเเต่ไม่เคยตอบลูกเพจเลย ครั้งต่อไปลูกเพจก็จะไม่มาโพสต์อีก เพราะเค้าคิดว่าแบรนด์คงไม่ตอบและไม่สนใจเค้า ทำให้ค่า Engagement ลดลง
หากแบรนด์คอยตอบลูกเพจอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะทำให้ค่า Engagement เพิ่มขึ้นเเล้วยังจะทำให้เกิด organic reach (การเข้าถึงแบบไม่ได้ทำโฆษณา) กับแบรนด์เราได้ด้วย เพราะถ้าลูกค้ารู้ว่าคุณตอบเร็ว เค้าก็ยิ่งอยากมาพูดคุยกับคุณด้วยตัวเอง โดยเราไม่ต้องเสียค่าโฆษณาเพิ่มเลย ทำให้เกิดความสัมพันธ์ในระยะยาวระหว่างแบรนด์กับลูกเพจ และอาจจะทำให้เกิด word-of-mounth ออกไปได้ด้วย เพราะเค้าก็อยากแนะนำคนรู้จัก ให้มาซื้อหรือใช้บริการของเราเหมือนกัน
2. ทำให้แบรนด์มีคาแรคเตอร์
เคยเห็นเพจ KFC ที่แอดมินชอบเล่นกับลูกเพจหรือเปล่าคะ? นั่นแหล่ะ คือตัวอย่างในการทำให้เพจมีคาเเรคเตอร์ หรือทำให้แอดมินเพจมีคาแรคเตอร์ขึ้นมา การทำแบบนี้ช่วยเรียกให้เกิด Engagement กับเพจของ KFC มากทีเดียว เพราะเทรนด์ที่แอดมินพูดคุยเล่นกับลูกเพจเเบบติดตลก หรือกวนๆ นั้นโดนใจลูกเพจหลายๆคน และพวกเขายังแชร์ออกไปให้เพื่อนๆของเขาได้เห็นโพสต์นั้นร่วมกันอีกด้วย
แต่คาเเรกเตอร์ที่จะตั้งขึ้นมาให้กับเพจนั้น เราจะต้องดูด้วยว่ามันเข้ากับเพจของแบรนด์หรือภาพลักษณ์ของแบรนด์หรือไม่ ไม่ใช่ว่าแบรนด์ขายสินค้าจิวเวลรี่หรูหรา เเต่สร้างคาแรกเตอร์กวนๆ เพื่อหวังให้คนเค้ามามี Engagement แบบนี้ผิดนะ ผิดในหลัก Positioning อีกด้วย ท้ายที่สุดลูกค้าก็จะไม่เชื่อมั่นในตัวเเบรนด์ เพราะภาพลักษณ์ที่สื่อออกมาไม่ตรงตามที่ลูกเพจคิดไว้นั่นเอง
คุณสามารถปรึกษา HelloAds ได้นะคะ เรารับทำ Facebook marketing ค่ะ เราจะดูภาพลักษณ์ของแบรนด์คุณว่ามีลักษณะแบบใด ขายสินค้าประเภทใด และมีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายประเภทไหน แล้วเราจะสร้างคาแรคเตอร์ของเพจขึ้นมาให้เข้ากับแบรนด์ค่ะ
ลองดูตัวอย่างเพจหนองโพ ที่สร้างคาแรกเตอร์ “พี่วัว” ขึ้นมาสิคะ การที่มี “พี่วัว” เป็นคาเเรคเตอร์ก็เข้ากับการที่ลูกค้าส่วนใหญ่ของนมเป็นเด็กๆที่ชอบดื่มนม หรือคุณแม่ที่อยากให้ลูกดื่มนม เเละติดตามเพจเพื่อรับข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นต่างๆ
3. ใช้รูปภาพที่เหมาะกับโพสต์
จากสถิติและงานวิจัยทางการตลาดออนไลน์ (Marketing Online) หลายๆที่ได้กล่าวไว้ว่า การใส่รูปภาพไปในโพสต์นั้นทำให้เกิด Engagement มากขึ้น
โดยมีผลต่อโพสต์บน Facebook ถึง 2.3 เท่า ส่วนใน Twitter ถ้ามีการใส่รูปภาพเข้าไปใน tweet ก็มีผลให้คน retweet มากขึ้นถึง 150% เลยทีเดียว
เเต่ไม่ใช่ว่าโพสต์แต่รูปอย่างเดียว เพราะว่านั่นผิดจุดประสงค์ของการโพสต์ เราสร้างโพสต์ขึ้นเพื่อให้เกิด Engagement และ traffic เข้าไปในเว็บไซต์ของเรา ซึ่งโพสต์รูปภาพเฉยๆ ทำไม่ได้แน่นอน เราต้องมีการใส่ลิงก์เข้าไปด้วย แต่ว่าการใส่ URL เข้าไปในโพส เเล้วหวังว่าจะมีคนคลิกนั้นก็ยังคงไม่ใช่คำตอบ วิธีที่ดีที่สุดคือการโพสต์ในเว็บไซต์เเล้วเอาลิงก์นั้นๆมาใส่ ให้ Facebook เปิด preview รูปภาพนั้นๆแทน
ใน Twitter เราก็สามารถทำ preview แบบนี้ได้เช่นกัน ด้วยการทำ Twitter Cards โดยต้องเอา meta tag ไปฝังไว้ในเว็บไซต์ของเรา เเละทำการขออนุญาติ Twitter ให้เรามี Twitter Card เวลาที่เราเอาลิงก์ของเว็บไซต์มาใส่จะได้ขึ้นแบบ preview
4. ถามความคิดเห็นเเละรีวิวจากลูกค้า
เเบรนด์จะต้องหมั่นถามลูกค้าว่า ใช้สินค้าแล้วเป็นอย่างไรบ้าง พอใจหรือเปล่า หรือไม่พอใจตรงไหน ต้องพูดคุยกับลูกค้าเสมอ โดยเฉพาะลูกค้าที่ไม่พอใจกับสินค้า แบรนด์ยิ่งต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะยิ่งเรารู้ข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายมากเท่าไหร่ การทำคอนเทนต์ให้ถูกใจลูกเพจก็จะง่ายขึ้นสำหรับเรามากเท่านั้น บางทีการถามโต้งๆว่า ชอบคอนเทนต์แบบนี้ไหม ก็ดูแปลกๆอยู่ ฉะนั้น ใน Facebook กับ Twitter มี Feature ทำ Poll ที่สนุกๆให้เราได้ลองใช้เพื่อทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการถาม feedback จากลูกค้าให้ดูน่าสนใจขึ้น ดูตัวอย่างจาก Twitter Support ด้านล่างเลย
5. โพสต์ content ที่มีเนื้อหาปัจจุบันและลูกเพจรู้สึกว่ามีส่วมร่วมได้
ลองโพสต์เกี่ยวกับหัวข้อที่มีคนพูดถึงมากในขณะนั้น อย่างเช่น พวก Trending Hashtag # ประจำวัน เพราะมันจะเป็นเรื่องที่คนสนใจอยู่ในขณะนั้นและมีแนวโน้มที่จะได้ Engagement เพิ่มขึ้น
6. มีข้อความและ call-to-action ในการกระตุ้นการตัดสินใจที่ชัดเจน
การที่ผู้คนใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น ทำให้แบรนด์จะต้องมีความจริงใจและโปร่งใสกับลูกค้ามากขึ้น เพราะสมัยนี้ลูกค้ารู้ว่าตัวเองกำลังถูกแบรนด์หลอกอยู่หรือเปล่า
มากกว่า 66% ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกหลอก ถ้าได้อ่านคอนเทนต์ที่ผู้เขียนถูกจ้างมาให้เขียน หรือ sponsored content ฉะนั้นเราจะต้องบอกลูกค้าไปตรงๆว่าเราต้องการอะไร
อย่างเช่น share โพสต์นี้, กด follow, download, sign up หรือ retweet แล้วลูกค้าจะได้อะไรตอบแทน การทำแบบนี้ทำให้เพิ่ม Engagement ขึ้น 23 เท่าทีเดียว ถ้าเปรียบเทียบกับโพสต์ที่ไม่มี CTAs ลูกค้าจะมีปฏิสัมพันธ์มากขึ้นเพราะเค้ารู้เเน่ชัดว่าคุณต้องการอะไรและเค้าจะต้องทำอะไรบ้าง
7. รีโพสต์ ข้อความหรือโพสต์ที่ลูกค้ากล่าวชื่นชมแบรนด์
พยายามทำความรู้จักลูกเพจที่ภักดีต่อแบรนด์ของคุณและ retweet หรือ repost ข้อความที่ลูกค้าเหล่านั้นรีวิวสินค้าหรือบริการของคุณ ถ้าลูกค้าได้เห็นโพสต์ของเค้าขึ้นบนหน้าเพจของคุณล่ะก็ เค้าจะรู้สึกดีต่อแบรนด์มากขึ้น เพราะเค้าจะคิดว่าแบรนด์สนใจเค้า และจะทำให้ลูกค้ามีเเนวโน้มที่จะกลับมาพูดถึงแบรนด์มากขึ้น มากด Like กดแชร์เพจมากขึ้น ทำให้มี Engagement เพิ่มขึ้นตามมา
8. ทำปฏิทิน content
การทำปฏิทินคอนเทนต์ เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับนักทำคอนเทนต์ทุกคน เพราะมันช่วยให้เราเห็นภาพรวมของคอนเทนต์ที่จะเกิดขึ้นในเพจ และช่วยเราในการบริหารจัดการ การวางแผนคอนเทนต์ ว่าภายในเดือนนี้หรืออาทิตย์นี้ เราจะโพสต์เนื้อหาอะไรบ้าง คอนเทนต์มีเพียงพอต่อการโพสต์หรือไม่ เราทำคอนเทนต์แบบนี้ซ้ำหรือเปล่า น้ำหนักของคอนเทนต์ประเภทนี้มีมากหรือน้อยไปในเพจหรือไม่
จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดในการทำปฏิทินคอนเทนต์คือ การทำให้คอนเทนต์มีความสม่ำเสมอและเป็นระบบระเบียบมากขึ้น หากทำแบบนี้จะทำให้เราไม่เครียดเวลาที่เราต้องลงคอนเทนต์อีกด้วย
9. ลองทำหลายๆรูปแบบ
ทุกแพลทฟอร์มมีอัตราการเกิด Engagement ที่ไม่เท่ากัน อย่างเช่น ถ้าทำคอนเทนต์ในรูปแบบของวิดีโอ บน Youtube อาจจะได้ impressions มากแต่ Engagement น้อย เนื่องจากคนส่วนใหญ่จะดูอย่างเดียว ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อื่นๆร่วมด้วย
ฉะนั้น กลยุทธิ์ที่ดีที่สุดคือ ทำคอนเทนต์ในหลายๆแบบ อาจจะเป็น คำคม ข่าว วิดีโอ แบบสอบถาม รูปภาพ หรือ infographics ลองดูว่าแบบไหนที่จะเหมาะกับคอนเทนต์ของคุณ และนำมาปรับใช้ในการทำคอนเทนต์ครั้งต่อๆไป
10. จำไว้เสมอว่าอย่าโพสต์แต่สิ่งที่คุณต้องการ
ถ้าคุณทำคอนเทนต์ที่เกี่ยวเนื่องกับเเบรนด์ มากกว่าสนใจสิ่งที่ลูกค้าต้องการละก็ คอนเทนต์นั้นๆ จะไม่มีคนสนใจและจะอยู่เเต่ในหน้าเพจอยู่อย่างนั้น ไม่มีการกด Like กด Share กด Retweet คุณต้องเข้าใจอย่างถ่องเเท้ว่าลูกค้าจะมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์แบบไหน ไม่ใช่โฟกัสเฉพาะเรื่องที่คุณอยากจะสื่อออกไป พยายามพูดถึงเรื่องที่ลูกค้าต้องการจะรู้มากกว่าพูดถึงตัวแบรนด์อย่างเดียว
การโพสต์คอนเทนต์ ก็เหมือนกับการที่คุณไปงานสังสรรค์สักแห่ง เเล้วพูดถึงเเต่ตัวเองอย่างเดียว ไม่ได้เปิดโอกาสให้คนฟังมีปฏิสัมพันธ์ร่วมด้วย ทำให้เค้าก็ไม่อยากจะคุยกับคุณต่อ
ฉะนั้น สิ่งที่คุณต้องทำคือ ถามคำถามลูกเพจ พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแบรนด์ เเล้วค่อยขายสินค้า
บทสรุปวิธีการเพิ่ม Engagement บนโซเชียลมีเดีย
สิ่งเเรกเลยคือ คุณจะต้องเอาใจลูกเพจมานั่งอยู่ในใจของคุณให้ได้ ต้องทราบว่าลูกเพจต้องการอะไรจากเพจของคุณ ลูกเพจอยากให้เเบรนด์มีคาแรคเตอร์แบบไหน สร้างคาเเรคเตอร์ให้เหมาะสมกับแบรนด์ สิ่งนี้จะดึงดูด Traffic เข้ามา การดึงดูดให้เกิด traffic สามารถทำได้หลายๆวิธี สิ่งที่ทำให้มีประสิทธิภาพมากคือการใส่รูปภาพเข้าไป นอกจากนี้คุณยังสามารถทำ Ads หรือ SEO เพิ่มด้วยก็ได้ เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่เคยเข้ามาในเว็บไซต์หรือเพจของคุณได้เห็นว่ามีสินค้าหรือบริการของคุณด้วย (ซึ่งทาง HelloAds ของเราก็รับทำ SEO, รับทำ AdWords, รับทำเว็บไซต์ ปรึกษาได้ฟรีค่ะ ^^ ) จากนั้นคุณจะต้องมีการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับลูกเพจ สร้างกิจกรรมให้เกิด Engagement หากลูกเพจมีการสอบถามเข้ามา การตอบแบบ very responsive จะทำให้ลูกเพจพึงพอใจมากยิ่งขึ้น ถ้าลูกเพจมีการชื่นชมเเบรนด์ ทางเเบรนด์ก็ควรที่จะ repost ขอบคุณลูกเพจ เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวได้อีกด้วย
การมีข้อความ CTAs ที่ชัดเจนไม่คลุมเคลือ เพื่อให้ลูกค้าได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เราต้องการให้เขาทำได้ในทันที ก็จะเพิ่มอัตราการเกิด Engagement ที่เร็วขึ้น
สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณต้องทำคือการวางแผนการทำ content เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำให้เกิด Engagement โดยวิธีการที่ง่ายและเป็นระบบก็คือการทำ ปฏิทิน content