ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับวันนี้เป็นอย่างดี เพราะวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมอย่างนี้จะเป็นอะไรไปได้นอกจากวันเด็กแห่งชาติ ในวันนี้ HelloAds เลยจะมาแนะนำตลาดดีๆ ที่นักการตลาดทุกคนน่าลงทุน นั่นก็คือ ตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กนั่นเอง
รู้หรือไม่ ปัจจุบันมีอัตราการเกิดในประเทศไทยลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเหตุผลมักเป็นเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อมทางสังคม ค่านิยมต่างๆ หรือความคิดที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากข้อมูลดังกล่าว เห็นได้ชัดว่าในช่วงปี 2555 – 2564 มีอัตราเฉลี่ยเกิดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง สวนกระแสทิศทางอัตราเฉลี่ยการตายที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2564 มีจำนวนการเกิดเพียง 544,570 คน เมื่อเปรียบกับปี 2563 ซึ่งมีจำนวนเกิด 587,193 คน ถือว่าน้อยลงอย่างเป็นเท่าตัว
ส่วนทางด้านประชากรจีนก็มีอัตราการเกิดต่ำลงเช่นเดียวกัน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน เผยว่าในปี 2564 อัตราการเกิดลดลงต่ำสุดในประวัติศาสตร์ถึง 7.52 คนต่อประชาชน 1,000 คน โดยมีอัตราการเกิดใหม่ 10.62 ล้านคน เหมือนเทียบกับปี 2563 มีอัตราการเกิด 12 ล้านคน เฉลี่ย 8.52 คนต่อประชาชน 1,000 คน
ถึงแม้ประเทศจีนจะใช้นโยบายลูกคนเดียวในปี 2559 ก็ได้เปลี่ยนมาใช้นโยบายบุตรสามคนในปี 2564 แทน เพื่อเพิ่มจำนวนการเกิด โดยอัตราการเกิดที่น้อยลงนั้น ส่งผลกระทบในระยะยาว อันเนื่องมาจากสาเหตุทางด้านเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงค่านิยมทางสังคมที่มีความสำคัญต่อการตัดสินมีลูก
ในขณะที่อัตราการเกิดในทั่วโลกจะลดลง แต่ตลาดแม่และเด็กยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ยาวไปอยากเลือกอ่าน
Toggleพาส่องการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก
ตลาดของใช้สำหรับแม่และเด็ก ยังคงเป็นตลาดที่น่าจับตามองอย่างมาก แม้จะเป็นเพียงกลุ่มสินค้าเฉพาะสำหรับเด็ก แต่สินค้าเฉพาะเหล่านี้กลับเติบโตอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากในปี 2564 ภาพรวมตลาดสินค้าแม่และเด็กยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 40,300 ล้านบาท
นอกจากการเพิ่มขึ้นของเด็กทั่วโลกจะทำให้ตลาดสินค้าแม่และเด็กเติบโตแล้ว พฤติกรรมของพ่อแม่ยุคใหม่ ก็มีผลต่อการขยายตลาดอีกด้วย เนื่องจากพ่อแม่ยุคใหม่มักจะแสวงหาผลิตภัณฑ์ที่มีการปรับปรุงและพัฒนา ให้สอดคล้องกับความต้องการในปัจจุบันมากที่สุดและนิยมซื้อผลิตภัณฑ์นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะนมผงและอาหารว่างสำหรับเด็กที่มีการปรับปรุงสูตรให้มีคุณภาพสูงขึ้นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้ราคาต่อหน่วยขยับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญคือ ครอบครัวส่วนใหญ่มีการวางแผน และเตรียมตัวมากขึ้นก่อนจะมีลูก พร้อมทั้งเตรียมงบประมาณในการเลี้ยงดูลูกมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของครอบครัวยุคใหม่ที่หันมาเลี้ยงลูกด้วยตนเอง ทำให้ความต้องการในการสรรหาตัวช่วยในการเลี้ยงลูกได้สะดวกสบายและปลอดภัยเป็นที่ต้องการเพิ่มสูงขึ้น
หนึ่งในแนวโน้มที่น่าจับตามองในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คือ การนำเข้า-ส่งออกด้านผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็ก ซึ่งนับตั้งแต่ปีนี้ ถึงปี 2569 คาดว่า ผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็กในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีอัตราเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้นกว่าร้อยละ 7.69 อย่างต่อเนื่อง และมีขนาดตลาดกว่า 47.71 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.68 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงขึ้นคิดเป็นร้อยละ 59 เทียบกับปี 2562 ที่ผ่านมา
ข้อมูลจาก K SME FOCUS ระบุว่า ตลาดสินค้าแม่และเด็กมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี แม้ช่วงที่ผ่านมาการเติบโตอาจชะลอตัวไปบ้างตามกำลังซื้อที่ลดลง แต่เมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ แล้ว ตลาดสินค้าแม่และเด็กถือว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ SME เลยทีเดียว สิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่จะจับตลาดนี้ต้องรู้คือ 92% ของครอบครัวไทย ซึ่งเหล่าคุณแม่จะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกซื้อของใช้ภายในบ้าน ดังนั้น การจะเจาะตลาดนี้ให้สำเร็จได้ จำเป็นต้องเข้าใจและรู้ถึง Insight ของผู้ซื้อกลุ่มนี้ให้ดีก่อน นั่นก็คือ
- ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของคุณแม่ยุคใหม่คือ คุณภาพและความปลอดภัย ข้อมูลที่เชื่อถือได้ ความหลากหลายของสินค้า รวมถึงราคาและความคุ้มค่า
- คุณแม่ยุคใหม่ใช้ออนไลน์ซื้อสินค้าแม่และเด็ก ผลสำรวจของ the Asian parent บอกว่า โปรโมชันที่ช่วยให้คุณแม่ตัดสินใจซื้อได้ง่ายที่สุดคือ การจัดส่งฟรี ส่วนกลยุทธ์ซื้อ 1 แถม 1 มีผลต่อการตัดสินใจซื้อมากกว่าลดราคา 50%
- คุณแม่มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตในช่วงเวลา 18.00-22.00 น. มากที่สุด โดยโซเชียลมีเดียที่คุณแม่นิยมใช้ อันดับ 1 Facebook อันดับ 2 YouTube และอันดับ 3 Instagram
- การชำระเงินปลายทางเป็นที่นิยมมากที่สุด รองลงมา คือ Mobile Banking ตามมาด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต
- คำแนะนำจากคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญ มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณแม่มากที่สุด ส่วน Influencer หรือ Celebrity มีส่วนช่วยให้คุณแม่รู้จักแบรนด์สินค้า
- ผลสำรวจจาก iPrice บอกว่า สินค้าประเภทอุปกรณ์การป้อนอาหาร จุกขวดนม ขวดนม และภาชนะบรรจุน้ำนม เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมสั่งซื้อออนไลน์มากที่สุด เพราะเป็นสินค้าที่มีอายุการใช้งานจำกัด ชำรุดง่าย และต้องเปลี่ยนตามพัฒนาการของเด็ก
นอกจากนี้ ไม่ใช่แค่ตลาดสินค้าแม่และเด็กในประเทศไทยเท่านั้นที่มีการเติบโตขึ้น ตลาดต่างประเทศก็มีการเติบโตขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมาเช่นกัน
การเติบโตของตลาดสินค้าแม่และเด็กในต่างประเทศ
- ออสเตรเลีย กับอัตราการมีบุตรพุ่งช่วง Lockdown
ขณะที่ออสเตรเลียก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่แนวโน้มสินค้าแม่และเด็กสดใส จากอัตราการมีบุตรพุ่งช่วง Lockdown ซึ่งจากข้อมูลระบุว่าสินค้าแม่และเด็กมีแนวโน้มเติบโตขึ้นในอนาคต เนื่องจากผลการประเมินข้อมูลเชิงสถิติของ Medicare พบว่า ในปี 2564 (มกราคม-กรกฎาคม) จำนวนการเข้ารับการตรวจครรภ์ 12-week scan เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 6
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Medicare พบว่า ในปี 2563 มีจำนวนการเข้ารับการตรวจครรภ์ (ที่มีอายุครรภ์ 12 – 16 สัปดาห์) 67,872 ครั้ง (เพิ่มขึ้นจาก10,000 ครั้งในปี 2562) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลจากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ในออสเตรเลียตั้งแต่ปี 2563 – 2564 นั้นมีผลต่อการมีบุตรเพิ่มขึ้นในออสเตรเลีย จากประเด็นข้างต้นนับว่าปัจจัยบวกต่อธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าแม่และเด็กในตลาดนี้
- ฟิลิปปินส์ ตลาดแม่และเด็กน่าสนใจในอาเซียน
ขณะประเทศในอาเซียนอย่างฟิลิปปินส์ซึ่งผลจากการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 2563 ที่ผ่านมา กําลังจะทําให้มีเด็กเกิดใหม่ในฟิลิปปินส์เกือบ 2 ล้านคนในปี 2564 โดยถือเป็นอัตราการเกิดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2543 ที่มีอัตราการเกิดอยู่ที่ 1.79 ล้านคน
ทั้งนี้ การเกิดใหม่ของทารกกว่า 2 ล้านคนในปีนี้ถือเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ สะท้อนให้เห็นว่ามาตรการควบคุมการแพร่ระบาดฯ ที่มีการจํากัดการเคลื่อนไหวและการเดินทางของประชาชน ทําให้การเข้าถึงการคุมกําเนิดลดลง ซึ่งประเด็นนี้อาจจะเป็นกรณีที่น่าสนใจว่า อัตราการเกิดในประเทศตลาดเกิดใหม่ ประเทศที่รายได้ต่อประชากรต่ำ และปานกลาง มีแนวโน้มการเกิดของทารกในช่วงโควิด 19 ภายใต้ปัจจัยล็อกดาวน์สูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ตัวอย่างอาทิ ช่วงปี 2562- ปัจจุบัน ประเทศในอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ล้วนประสบกับการเกิดที่ลดลง
- จีน ตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กยักษ์ใหญ่
แม้เราจะบอกว่า ปัจจุบันจีนยังถือว่าเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดราว 5% ซึ่งไม่มากนัก แต่เมื่อเทียบกับจำนวนประชากร 1,400 ล้านคน ก็นับว่าเป็นตลาดแม่และเด็กที่น่าสนใจมากที่สุดในตอนนี้ และจากข้อมูลแพลตฟอร์ม Tmall Global ร่วมกับ ศูนย์ CBN Data บริษัทวิจัยการตลาดชื่อดังของจีน เปิดเผยรายงานแนวโน้มตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กของ Tmall Global ปี 2564 ที่ได้ทําการสํารวจสถานการณ์การพัฒนาตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กข้ามพรมแดนและช่องทางออนไลน์ในจีน พบว่าหลายปีที่ผ่านมายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าในปี 2564 ตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กของจีนจะมีมูลค่าทะลุ 4 ล้านล้านหยวน และในอนาคตอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์แม่และเด็กจะขยายไปยังทางช่องการค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เราจะเห็นว่าถึงแม้อัตราการเกิดของเด็กน้อยลง แต่ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงเด็กหนึ่งคนเพิ่มขึ้น บางครอบครัวซื้อสินค้าหนึ่งชิ้น ก็ขยับเพิ่มเป็น 5 ชิ้นและ 10 ชิ้นตามลำดับ ยิ่งทำให้ตลาดสินค้าแม่และเด็กเติบโตสวนกระแสอัตราการเกิด โดยพฤติกรรมของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่อย่าง GenX และ GenY ค่อนข้างมีคลาสระดับนึง มีความต้องการใช้ของพรีเมียม ติดแบรนด์ เพื่อให้คุณแม่และลูกน้อยได้รับแต่สิ่งดีๆ ใช้ของมีคุณภาพ
ด้วยสถิติและข้อมูลเหล่านี้จะเห็นได้ชัดตลาดแม่และเด็กทั่วโลกเป็นตลาดที่น่าลงทุนเป็นอย่างมาก สำหรับใครที่สนใจให้เราช่วยทำการตลาดในตลาดแม่และเด็กให้ แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อ HelloAds มาได้เลย