ยาวไปอยากเลือกอ่าน
ToggleSEO SEM คืออะไร? ต่างกันอย่างไร? นักการตลาดควรเลือกใช้แบบไหนถึงดีกับธุรกิจที่สุด?
ในยุคที่เทคโนโลยีเติบโตอย่างรวดเร็ว หลายแบรนด์จึงต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดออนไลน์ ด้วยการเรียนรู้การใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อช่วยในการโฆษณา เพิ่ม Traffic เข้าสู่เว็บไซต์ และกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ก็คือ SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization และ SEM หรือ Search Engine Marketing โดยทั้งสองรูปแบบนี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยประสิทธิภาพในการทำการตลาดออนไลน์ของแบรนด์ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใหญ่หรือแบรนด์เล็ก
แน่นอนว่าหลายแบรนด์คงเคยได้ยินคำว่า SEO และ SEM กันมาบ้างแล้ว แต่บางคนอาจจะเข้าใจผิดว่าทั้งสองอย่างนี้เหมือนกัน แต่แท้จริงแล้วนั้นทั้งสองสิ่งนี้มีความแตกต่างกันอยู่ นั่นก็คือ
SEO คือ กลยุทธ์การค้นหาแบบทั่วไป (Organic Search) เป็นตัวจัดการเว็บไซต์ที่เพิ่มโอกาสของแบรนด์ในการปรากฏขึ้นในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google โดยการใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์นั้นๆ เพิ่มโอกาสให้แบรนด์ติดอันดับสูงขึ้น จนสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายของแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในขณะที่ SEM คือ การทำการตลาดออนไลน์ผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเตอร์เน็ต โดย SEM จะเสียค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณา เป็นลักษณะแบบ PPC (Pay per click) ซึ่งเป็นรูปแบบการซื้อโฆษณาโดยเรียกเก็บเงินที่ต้องจ่ายตามจำนวนคลิก ซึ่งจะต้องมีการประมูล Keywords เพื่อให้โฆษณาแสดงผลตามการค้นหาบน Search Engine นั้นๆ ส่งผลให้ SEM จะสามารถวัดผลการทำงานได้ว่ามีค่าใช้จ่ายต่อการคลิกเท่าไหร่ คำที่ประมูลตรงกับการค้นหาหรือไม่ ซึ่งจะมีข้อแตกต่างกับ SEO ตรงที่ไม่ต้องรอระยะเวลาในการติดเสิร์ชนั่นเอง
Search Engine ทำงานอย่างไร? ทำไม SEO Marketing ถึงจำเป็น?
อย่างที่เป็นที่รู้กันว่า Search Engine ที่ใช้กันทั่วไปอย่าง Google, Bing, Yahoo! หรือ Baidu เป็นแพลตฟอร์ม Search Engine ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดย Google ได้รับความนิยมอันดับ 1 ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมทั้งประเทศไทย เรียกได้ว่ามีส่วนแบ่งในการตลาดกว่า 90% เลยทีเดียว ส่วนในประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง และไต้หวันนิยมใช้ทั้ง Google และ Yahoo! สำหรับในรัสเซียนั้นใช้ Yandex และในประเทศจีนใช้ Baidu
แม้ว่าจะมี Search Engine หลากหลายแพลตฟอร์ม แต่หลักการทำงานนั้นก็ไม่ต่างกัน โดยเริ่มจากเราพิมพ์ค้นหาคีย์เวิร์ดที่ต้องการลงไป Search Engine ก็จะประมวลผลและแสดงให้เราเห็นลิงก์เว็บไซต์ต่างๆ ที่ตรงกับคีย์เวิร์ดนั้นๆ ใน Search Result Page ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเว็บไซต์อยู่ในอันดับดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้มีคนเปิดเข้าไปดูมากขึ้นเท่านั้น และสิ่งนี้ได้นำมาสู่ยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ การทำ SEO Marketing เพื่อโปรโมตเว็บไซต์ของแบรนด์ให้ติดอันดับแรกๆ ของการค้นหาจึงเป็นเรื่องสำคัญ
SEO vs SEM ต่างกันอย่างไร? ใช้คู่กันยังไงให้มีประสิทธิภาพ
เพราะการทำการตลาดบน Google เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ด้วยจำนวนการค้นหามากกว่า 90,000 ครั้งต่อวินาที ซึ่งผู้ใช้งานที่เข้ามาค้นหาบน Google ล้วนมีความสนใจในสิ่งนั้นๆ และต้องการหาข้อมูลเพิ่มขึ้น ดังนั้น หากเว็บไซต์ของธุรกิจไหนสามารถขึ้นแสดงผลบน Google ในอันดับแรกๆ แล้วเมื่อใดก็ตามที่มีคนค้นหา และคอนเทนต์ของเราตอบโจทย์ ก็ย่อมมีโอกาสสูงในการดึงดูดกลุ่มลูกค้าและยอดขายได้นั่นเอง
แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วระหว่าง SEO และ SEM รูปแบบไหนจะตอบโจทย์เหมาะกับแบรนด์ของเรามากกว่ากัน ซึ่งคำตอบของคำถามนี้ไม่ตายตัว สามารถเป็นทั้งคู่ใช้พร้อมกันได้เลย เพราะทั้ง SEO และ SEM คือ เครื่องมือการตลาดที่มีประสิทธิภาพเหมือนกันทั้งคู่ แต่ต่างกันในแง่ของวัตถุประสงค์และวิธีการ ถ้าแบรนด์ต้องการเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาเป็นอันดับต้นๆ และเพิ่มความสนใจของลูกค้าให้เลือกใช้ SEO แต่หากแบรนด์ต้องการเพิ่มการรับรู้และขยายฐานลูกค้าอย่างรวดเร็วให้เลือกใช้ SEM
จากสถิติแล้วแบรนด์ที่ทำทั้ง SEO และ SEM จะประสบความสำเร็จในด้านยอดขายเป็นอย่างมาก เพราะทั้งคู่สามารถนำมาปรับใช้เพื่อสนับสนุนร่วมกันได้ จึงส่งผลให้สร้างยอดขายได้มากยิ่งขึ้น
โดยเริ่มจากการวิเคราะห์คำค้นหาจาก SEM เพื่อเอามาทำ SEO กระตุ้นยอด Traffic เป็นเท่าตัว ในทางกลับกัน เราก็สามารถวิเคราะห์คำค้นหาจาก SEO เพื่อมาทำ SEM ได้อีกด้วย นอกจากนี้ เรายังสามารถทดสอบ Landing Page จาก SEM ก่อนนำมาทำ SEO เพื่อทดสอบได้ว่าหน้าไหนเกิด Conversion มากที่สุด หรือมี Engagement สูงสุดได้อีกด้วย รวมไปถึงยังสามารถเพิ่มอัตราส่วนการแสดงผลบนหน้าค้นหา เพิ่มทั้งโอกาสในการคลิกเข้าเว็บไซต์ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ และเป็นผลบวกในด้าน Branding ด้วยเช่นกัน
แต่สำหรับแบรนด์ไหนที่ต้องการทำอย่างใดอย่างหนึ่ง สามารถดูข้อแตกต่างได้ตามนี้เลย
1. ค่าใช้จ่าย
SEO: ไม่มีค่าใช้จ่ายเมื่อมีคนคลิกโฆษณาเข้าไปชมเว็บไซต์ แต่อาจมีค่าดำเนินการในส่วนอื่นๆ เพื่อที่จะปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้นๆ หากเป็น Keywords ที่มีการแข่งขันสูง ค่าใช้จ่ายก็จะยิ่งสูงตามไปด้วย ราคาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ
SEM: มีค่าใช้จ่ายเมื่อมีคนคลิกโฆษณาเข้าไปชมเว็บไซต์ โดยราคาต่อคลิกขึ้นอยู่กับการประมูล Keywords แต่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในงบประมาณที่กำหนดได้
2. ระยะเวลา
SEO: ต้องใช้เวลาปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ รวมไปถึงสร้างคอนเทนต์จนกว่าจะติดอันดับต้นๆ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาเป็นระยะยาว โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความยากง่ายของ Keywords รวมไปถึงคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
SEM: สามารถแสดงโฆษณาได้รวดเร็ว ภายใน 24 ชั่วโมง เหมาะกับการโปรโมตแคมเปญระยะสั้น
3. การแสดงผล
SEO: สามารถแสดงผลได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่อันดับอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เนื่องจาก Search Engine มีการอัปเดตอยู่ตลอด ทั้งนี้หากมีการทำผิดกฎของ Search Engine ก็อาจทำให้อันดับหายไปได้เช่นกัน
SEM: สามารถกำหนดการแสดงผลได้ตามที่ต้องการ แต่ถ้าประมูล Keywords ในราคาต่ำเกินไป หรือมีงบประมาณน้อย โฆษณาก็จะไม่สามารถแสดงได้ตลอด และหากหยุดโฆษณาหรืองบประมาณหมด โฆษณาก็จะหายไปทันที
4. การบริหารจัดการ
SEO: อาจต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในหลายส่วน เช่น นักพัฒนาเว็บไซต์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO นักเขียนบทความ เพื่อปรับปรุงเว็บไซต์และต้องคอยรักษาอันดับอยู่ตลอด
SEM: สามารถใช้ผู้เชี่ยวชาญเพียงคนเดียวในการจัดการโฆษณาได้ โดยสามารถปรับปรุงโฆษณาให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าใช้จ่ายมากที่สุด
5. ความน่าเชื่อถือ
SEO: ผู้ใช้บางคนจะให้ความเชื่อถือเว็บไซต์ที่ติดในอันดับต้นๆ มากเป็นพิเศษ ทำให้ตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการได้ง่ายขึ้น
SEM: ผู้ใช้บางคนอาจไม่คลิก เนื่องจากเห็นว่าเป็นโฆษณา แต่ก็ถือว่าเป็นการสร้าง Brand Awarness ได้ เพราะโฆษณาจะแสดงอยู่ในอันดับต้นๆ และหากไม่มีคนคลิก ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
เป็นที่เห็นได้ว่าทั้ง SEO และ SEM มีความคล้ายกันในบางจุด และสามารถใช้ควบคู่กันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้แบรนด์เราสามารถเข้าถึงเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น
พาส่อง! ธุรกิจแบบไหนเหมาะกับ SEO แบบไหนเหมาะกับ SEM?
แน่นอนว่าการทำ SEO Marketing หากทำทั้ง SEO และ SEM จะได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า แต่หากแบรนด์ไหนต้องการคำแนะนำว่า SEO และ SEM เหมาะกับธุรกิจประเภทไหนมากกว่ากัน HelloAds ขอแนะนำว่า SEO เหมาะกับธุรกิจประเภท Business to Business (B2B) เพราะเป็นธุรกิจที่กลุ่มเป้าหมายจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาข้อมูลก่อนทำการสั่งซื้อ ซึ่งส่วนใหญ่ธุรกิจ B2B จะมีการสั่งสินค้าที่ค่อนข้างเยอะและมีมูลค่าสูง ทำให้ต้องใช้เวลาในการศึกษาสินค้าก่อนสั่งซื้อนั่นเอง ในขณะที่ SEM จะเหมาะกับธุรกิจประเภท Business to Customer (B2C) มากกว่า เพราะเป็นสินค้าที่ไม่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาหาข้อมูลมากนักเป็นการตัดสินใจซื้ออย่างรวดเร็ว SEM จึงตอบโจทย์ธุรกิจประเภทนี้
ดังนั้น หากแบรนด์ไหนหรือนักการตลาดคนใดที่มีงบประมาณจำกัด แต่ต้องการเป็นผู้นำในตลาด สามารถเลือกทำการตลาดที่เหมาะกับธุรกิจของคุณได้เลย หากคุณต้องการที่ปรึกษาการตลาด HelloAds พร้อมยินดีตอบทุกข้อสงสัยของคุณ
เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ที่พร้อมวางแผนกลยุทธ์การตลาด เน้นสร้างผลลัพธ์ให้ตอบโจทย์ที่มีความเฉพาะตามแต่ละธุรกิจ รวมไปถึงให้ข้อมูล เพื่อทำการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
HelloAds มีบริการรับทำ SEO ราคาถูก เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ กระตุ้น Brand Awareness, Website Traffic, และ Conversion Rate ของแบรนด์เล็กและใหญ่ให้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และบริการ SEM ที่ช่วยให้โฆษณาบน Google ของคุณประสบความสำเร็จ เพิ่มยอด Conversion และยอดขายให้เติบโตอย่างเห็นได้ชัด และเพิ่มจำนวนลูกค้ามากขึ้นกว่า 2 เท่า
ถ้าอยากให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น มาใช้บริการรับทำ SEO / SEM กับเรา ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานของ HelloAds รับรองได้ว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
หากคุณต้องการคำปรึกษาหรือสนใจทำบริการ SEO และ SEM กับ เรา สามารถติดต่อ HelloAds เพื่อสอบถามข้อมูลได้เลย